เทศน์พระ

แพ้ภัย

๒ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

แพ้ภัย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาบวชกันแล้วนะ เราเป็นพระเห็นไหม พระ ! เวลาค้นหากัน เราไปค้นหากัน เวลาเขาไปหาพระนะเขาต้องไปที่โบสถ์ เพราะในโบสถ์มีพระประธาน

คิดว่าพระประธานเป็นพระ แต่ในพระประธานนั้นเป็นตัวแทนไง เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น แต่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประเสริฐ.. พระคือความรู้สึก พระคือพุทโธ พุทธะ คือนามธรรม คือสิ่งที่พ้นจากกิเลส ผู้ประเสริฐมันอยู่ที่หัวใจนั้น ไม่ใช่ผู้ประเสริฐมันอยู่ที่วัตถุ

วัดสร้างกันมาน่ะ ไปดูสุโขทัยสิ เวลาเผาไปแล้ว พม่าเผาหมดเลยเห็นไหม สุโขทัย มันเหลือแต่ซาก นั่นไง ถ้าพระข้างนอกเรายังว่าเป็นพระ ๗๐๐ ปี สุโขทัยอายุ ๗๐๐ ปี พระประธานในวัดนั้น สิ่งที่เป็นวัตถุที่นั่นอายุ ๗๐๐ ปี แล้วอายุศาสนา ๒,๐๐๐ กว่าปี แล้วเราเกิดมานี้ยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี แล้วเราจะมาค้นหาพระกันที่ไหนล่ะ

ถ้าเราค้นหาพระ เราต้องค้นหาพระมาในหัวใจของเรา ถ้าค้นหาพระในหัวใจของเรา เราจะเอาอะไรเข้าไปค้นหามัน ศีลธรรมเห็นไหม ศีลคือขอบรั้ว กลั้นใจเข้ามา ขอบเขตของมัน ศีลคือการไม่ฝ่าฝืนทำ นอกจากศีลข้อบังคับนั้น ถ้ามันไม่เป็นข้อบังคับนั้น เห็นไหมไม่ทำจากข้อบังคับนั้น มันเป็นอิสระของมันขึ้นมา เป็นปกติ

ศีละ คือ ความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติมันมีโอกาสของมันที่จะเข้าไปค้นหาของมัน แต่ถ้ามันไม่มีศีละ ไม่มีศีล ไม่มีความปกติของใจ มันโดยสัญชาตญาณ ทำงานโดยพลังงาน พลังงานมันจะแผ่ของมันไปเห็นไหม พลังงาน ธรรมชาติของพลังงานมันเคลื่อนตัวของมันไป มันแปรสภาพของมันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นพลังงาน

ตัวจิตมันเป็นพลังงานที่มีชีวิต เป็นพลังงาน พลังงานเขาต้องค้นคว้าขึ้นมา อย่างเช่น โรงไฟฟ้า อย่างเช่นต่างๆ เขาต้องมีกระแสไฟฟ้า ก็ต้องมีกังหัน มีมอเตอร์ความหมุนของมัน มันถึงเกิดพลังงานขึ้นมา

แต่สันตติ จิตมันเป็นธรรมชาติพลังงานที่มหัศจรรย์ สันตติคือมันเกิดไง มันเกิด ๆ ต่อเนื่อง ความเกิดต่อเนื่องนี้ เวลาการเกิดนี้มันเกิดต่อเนื่อง มันเป็นพลังงานที่มีชีวิต พอเป็นพลังงานที่มีชีวิต มันมีอวิชชา มันมีการครอบงำของมัน และพลังงานนี้มันถึงไม่ปกติ ไม่ปกติเพราะมันต้องมีแรงขับ มันมีอวิชชา แรงขับอวิชชานี้ มันทำให้จิตนี้เกิดตาย เกิดตาย ในการต่อเนื่องนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น พยายามรื้อค้น ไปศึกษาทรมานทุกวิถีทางเพื่อจะให้เอาชนะตัวเองให้ได้ มันไม่มีทางเอาชนะตัวเองได้ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าย้อนกลับที่ตั้งแต่โคนต้นหว้า ตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เห็นไหม

ในความสัมผัส ดูสิ สันทิฏฐิโก ความสัมผัส แม้แต่เด็กน้อยยังจำได้ว่าความสัมผัสอันนั้น อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ มีความสัมผัสอย่างไร ความสัมผัสพลังงานตัวนั้นมันมีที่เกาะไง พลังงานตัวนั้นที่มันกระจายตัวเป็นธรรมชาติของมัน พลังงานของมันที่จะมารวมตัวได้

พลังงานจะมารวมตัวได้ ตั้งแต่กำหนดอานาปานสติจนจิตมันสงบเข้ามา พอสงบเข้ามา พลังงาน สันตติที่มันสงบตัวเข้ามาเป็นพลังงาน พลังงานไม่มีชีวิต พลังงานมันเป็นสิ่ง เป็นวัตถุ มันเป็นสสารอันหนึ่ง พลังงานมันแปรปรวนของมัน

แต่พลังงานสันตติ สันตติมันเป็นจุดกำเนิด มันเกิดจากอะไร สิ่งที่ถูกกำเนิด กำเนิดจากอะไร เพราะเกิดจากอะไร ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม ตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุดกำเนิดนั้นมันเก็บข้อมูลสิ่งใดไว้

ถ้าจุดกำเนิดเก็บข้อมูลสิ่งใดไว้เห็นไหม ย้อนต่างๆ มันเก็บมันสะสมไว้ที่นั่น มันเป็นความมหัศจรรย์เห็นไหม พระผู้ประเสริฐเขาประเสริฐกันที่นี่ เขาหากันที่นี่ นี่อยู่ที่นี่แล้วเราเกิดมาในโลกเห็นไหม นกยังมีรวงมีรังเป็นที่อาศัย เราก็ต้องมีที่อาศัย อาวาส อาราม เป็นที่อยู่ของอารามิก เป็นผู้ที่ไม่มีเหย้ามีเรือน

เราบวชมาแล้วเราไม่มีเหย้าไม่มีเรือน พระอยู่ที่ไหน พระต้องอยู่ที่วัด พระอยู่ที่อาราม พระไม่อยู่ที่บ้าน ที่บ้านมีแต่พระพุทธรูปเอาไว้กราบเคารพบูชาของเขา แล้วในอารามเป็นที่อยู่ของผู้ไม่เรือน แล้วไม่มีเรือนนี้ที่อยู่ของใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ เราบวชเราเรียนขึ้นมาแล้ว เราจะแสวงหาของเรา

หาพระเห็นไหม สมมุติสงฆ์ เวลาไปวัดไปวา ไปประพฤติปฏิบัติ ไปหาสมมุติสงฆ์ ไปหาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านมีเทคนิค มีวิชาการ ท่านมีประสบการณ์ของท่าน ท่านมีของท่าน ท่านเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ท่านเข้าใจเรื่องของใจ ใจมันควรจะเริ่มต้นอย่างไร ควรจะแสวงหาอย่างไร

เราอยู่กับโลกเราต้องมีที่อาศัย นกยังมีรวงมีรังเห็นไหม เราก็มีวัด อาวาส ที่อาศัย พอมีวัด ที่อาศัยเห็นไหม ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณสิ่งที่กำหนดระลึกอดีตชาติ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลาสิ้นสุดกิเลสไปแล้ว จิตไม่มี ทุกอย่างไม่มี หมดสิ้นกระบวนการของมันไป แต่ยังมีร่างกายอยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการอยู่นี้ ท่านยังมีร่างกาย มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระ เป็นภาระของพลังงานที่สะอาด พลังงานที่ทำลายตัวเองแล้วเป็นพลังที่สะอาดเห็นไหม พลังงานที่ยังไม่ทำลายตัวเอง พลังงานฟอสซิล พลังงานถ่านหิน พลังแก๊ส พลังงานต่างๆ ใช้พลังงาน พลังงานมีความสกปรกของมันขนาดไหน

นี่พลังงานที่สะอาด สะอาดจากอะไร สะอาดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ในอวิชชาของตัว ถ้าสะอาดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม มันก็ยังมีร่างกาย มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพื่อจะเป็นประโยชน์กับโลก

เราอยู่โลก เราก็ต้องอยู่กับโลก เราอยู่กับโลกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าครูบาอาจารย์องค์ไหน ท่านมีพลังงานสะอาดหรือพลังงานที่สกปรก สิ่งที่เป็นความสกปรกเป็นอวิชชา ตัณหาความทะยานอยาก มันแสวงหา มันต้องการ มันอยากดัง อยากใหญ่ อยากนั่น สิ่งนี้เขาให้ไปชำระมัน เขาไม่ได้ไปเพิ่มพูนมัน

ถ้าชำระมันเห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันมันอยู่แล้ว แต่เราเอาวิชา นี่ไง ถ้าเป็นธรรมขึ้นมามันจะไม่แพ้ภัยตัวเองไง มันจะแพ้ภัยตัวเองนะ ถ้ามันกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี้ เพราะมันไปเอาแต่เรื่องข้างนอก เรื่องของตัวเองมันไม่ดูแลไม่รักษา

ถ้าเรื่องของตัวเองไม่ดูแลไม่รักษา ไม่ย้อนกลับมาที่ตัวของตัวเอง ดูแลรักษาที่นี่ รักษาที่เรา สติปัญญาอยู่ที่เรา ถ้าสติปัญญาอยู่ที่เรา อย่างอื่นมันสะอาดบริสุทธิ์ไปหมดเลย ถ้าสิ่งหัวใจมันสะอาด ถ้าหัวใจมันสกปรก เรื่องจากข้างนอกเราไม่ไปยุ่งกับมันนะ เรื่องจากข้างนอกเราจะไปกว้านเข้ามาทำไม มันเรื่องของโลก

ดูสิ ดูเวลาลดค่าเงินบาทเห็นไหม ดูสิ เวลาเศรษฐกิจของโลกมันก็ต้องกระทบกันไปหมดเลย ไม่ใช่การกระทำของเราเลย เราไม่ได้สามารถยับยั้งมันได้เลย เพียงแต่เราจะตั้งรับ เราจะเอาตัวเรารอดจากวิกฤตนั้นได้อย่างไร เราอยู่กับโลกก็เป็นอย่างนั้น กระแสนโยบายของโลก กระแสของรัฐบาล กระแสลม

ดูสิ สมัยสงครามเย็นเห็นไหม กระแสลม กระแสการเมืองทางใดมา เราจะลู่ตามลมอย่างไร เราเป็นประเทศเล็กจะอยู่กับสังคมเขาอย่างไง นี่เรื่องของโลกมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นการเมือง มันเป็นเรื่องกระแสสังคม มันเป็นเรื่องความเห่อเหิม ความทะเยอทะยานของเขาเป็นครั้งเป็นคราวของมันไป

เราเป็นพระ เราจะออกไปยุ่งกับการเมืองอย่างนั้นทำไม เราไม่ยุ่งเรื่องการเมืองอย่างนั้น แต่เรารู้มันใช่ไหม พระที่มีสติสัมปชัญญะเขาจะรู้กับมัน แต่ไม่ไปยุ่งกับมันน่ะ รู้มันแล้วลู่ไปตามลมเห็นไหม ลู่ ! ไม่ใช่ลู่แบบไม่รู้

ดูสิ ในสัจธรรม “เธออย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ” พระอริยเจ้าเขารู้อยู่ว่าสิ่งนี้ มันไม่ใช่กาลเวลาที่เราสมควรจะพูด แล้วมันจะตื่นไง โลกมันจะตื่นกันไปหมด สิ่งจะเป็นอย่างนั้นๆ มันจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นอนาคต มันจะพิสูจน์กัน

แต่ในปัจจุบันเราจะไม่พยากรณ์อย่างนั้น เราจะไม่ว่าอย่างนั้น เรารักษาเวลา นี่ไงไม่ใช่ลู่ตามลมโดยที่ไม่รู้เรื่องนะ คำว่าลู่ตามลมคือไม่ใช่เรื่องของเรานะ มันสุดวิสัย เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรื่องของความทุกข์ความสุขของเรามันเป็นวิสัยของเรานะ เรารับรู้ของเรา เราจับต้องของเรา เราสัมผัสของเรา เรารู้ของเราว่าสิ่งนี้เป็นความสุข ความทุกข์ของเรา

สิ่งที่เป็นความสุข ความทุกข์ของเรา สิ่งที่มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของเรา เราต้องทำตรงนี้ เราต้องแก้ไขตรงนี้ ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ ข้างนอกมันจะเข้าใจ แล้วมันจะวางไว้ตามระบบเลย ถ้าแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะอันนี้มันคืออะไร กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นภัยนะ แพ้ภัยตัวเอง !

ถ้าภัยตัวเอง ถ้ามันมีจุดยืนของเราน่ะ ข้างนอก.. เราไม่ทันเขาหรอก เราไม่ทัน เพราะว่าถึงจะรู้ทัน.. น้ำท่วมนะ ดูวาตภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนะ ธรรมชาติเวลามันเปลี่ยนแปลงเกิดพายุขึ้นมา เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องพยายามรักษาชีวิตของเราใช่ไหม สิ่งใดที่แก้ไขได้ สิ่งใดที่เราจะไม่ให้มันเสียหาย เราจะพยายามขนย้าย หลบไปที่ปลอดภัยแล้ว เราทำได้เราก็ทำ

ถ้าทำไม่ได้นะ นี่ไง มันถึงวาระของมัน กรรมของมันๆ มาถึง มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ากรรมมาถึง อยู่ที่กรรมดีของเรา อำนาจวาสนาของเรามีแค่ไหน ถ้าอำนาจวาสนาเรามีนะ มันจะมีคนมาช่วยเหลือเรา มันจะมีคนมาจุนเจือเรา เพราะอำนาจวาสนาของเรา เราสร้างของเราไว้

ถ้าถึงเวลาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงเวลากรรมดีขึ้นมา ดูสิ เวลาทำดีขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราหรือใครก็แล้วแต่ที่เป็นที่รักศรัทธาของญาติโยมเขา ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าเกิดวิกฤตทุกคนเขาจะไปดูแล เขาเป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้น เขาช่วยเหลือเจือจาน

แต่ของเรานี้มันไม่มี แล้วพยายามจะแสดงว่าให้มันมี มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าไปเอาข่าวมงคลหรือตื่นข่าวจากข้างนอกเข้ามา แล้วมาทำให้ตัวเองเดือดร้อนนะ ถึงเวลาข้างนอกมันมีข่าวแล้วตัวเองไม่ได้ดูแลตัวเอง เรื่องของเขา !

เรื่องของเราไม่ต้องไปห่วงกังวล เรื่องของใครก็ไปกว้านเข้ามาเป็นภาระของเรา แล้วก็มาเผาลนตัวเอง ทั้งๆ ที่ภัยของตัวเองก็มีอยู่แล้ว ภัยของตัวเอง ถ้าจุดยืนของตัวเองไม่มี มันวินิจฉัยสิ่งนี้ไม่ได้เลย มันเรื่องของเขา

ถ้าเรื่องของเขา กระแสโลกมันก็เป็นอย่างหนึ่งน่ะ ไอ้นี้มันเป็นเรื่องของเขาแล้ว ถ้าเราทันของเรา เราทันถึงตัวเราเองมันไม่จำเป็นนะ มันไม่จำเป็นเลย มันไม่จำเป็นเลย เพราะมันเป็นการฉ้อฉล มันเป็นเรื่องของการเมือง ไม่เป็นเรื่องของความจริงเลย ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราทำดีของเรานะ

ดูสิ ดูอย่างที่อุทัยฯ พอทำดีขึ้นมาปลูกต้นไม้ ป่าไม้มันได้ทึ่งหมดนะ เดี๋ยวนี้ป่าไม้ไม่ได้กล้าเข้ามาแตะเลย ป่าไม้ยังทำไม่ได้อย่างเราทำเลย ป่าไม้ไม่กล้าเข้ามาแตะ...เขายกเว้นให้เลย เขายกให้เลย เขาไม่เข้ามาดูแล..

แต่ก่อนจะเป็นอย่างนี้ได้ ปีแรกไปเห็นไหม เขาเข้ามาบี้ๆ ตลอด บี้แล้วบี้อีกๆ ...เพราะเขาบอก “พระจะมาปลูกต้นไม้จะปลูกกี่ต้น ? จะปลูกกี่ต้น ?”

เดี๋ยวนี้เขามานะ “โอ้โฮ ! ไปเอางบประมาณมาจากไหนนี่ ? ไปเอาต้นไม้มาจากไหน ? รัฐบาล...แม้แต่ป่าไม้ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย ป่าไม้ยังทำไม่ได้ขนาดนี้”

เขาวัดกันที่ผลงาน เขาวัดที่ความนิ่งของเรา ถ้าเรานิ่ง เราทำของเราเขาซูเราเอง เขาพอใจ เขายอมรับความจริง

แต่ถ้าเรายังดิ้นยังส่ายอยู่ เขาแหย่ได้ตลอด เขาแหย่เราได้ตลอดเลย เพราะเราหัวมันส่ายหางมันกระดิก ร่างกายมันปลิ้นปล้อน ไส้พุงมันไหลไปตลอดทางเลย ไปทำให้เขาเห็นหมด ไส้นี้เป็นมาหมดเลย เลือดออกเป็นทาง เลือดเต็มทางไปหมด แล้วใครเขาจะไม่เข้ามาแหย่

แต่ถ้าเรานิ่งของเราเห็นไหม เราทำของเรา ตอนนี้อุทัยฯ ดูสิ สมชายบอกว่า “หลวงพ่อ ป่าไม้เหรอสบายมาก ทุกอย่างสบายมาก สบายมาก สบายมาก” ไปที่ไหนเขายอมรับหมด เพราะอะไร เพราะความนิ่งของเรา

เราไม่ยุ่งกับเขาเลย เรารดน้ำต้นไม้ เราตัดหญ้า เราไม่ได้ไปอยากดัง อยากใหญ่นะ.. เราผสมปุ๋ย เราดูแลปุ๋ย เราใส่ปุ๋ย ต้นไม้มันก็ขึ้นมา

นี่ไง เราไม่ทำความดีอะไรเลย เราไม่ออกไปยุ่งกับโลกเลย ไม่ได้วิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปหาใครเลย ไม่ได้ไปฉ้อฉลอะไรกับสิ่งใดเลย ทำไมเขายอมรับล่ะ เขายอมรับเพราะอะไร เขายอมรับเพราะเรานิ่ง เราไม่ได้ไปยุ่งกับเขา แล้วเราไม่ต้องการสิ่งใด เราทำของเรากันเองได้

นี่ไง มันแพ้ภัยตัวเองต่างหากล่ะ มันไม่ได้แพ้ใครเลย เพราะเขาไม่กล้ายุ่งกับเราหรอก เขาไม่กล้ายุ่งกับไอ้หงบหรอก ! ทุกคนไม่กล้ายุ่งกับกู ! เพราะอะไร เพราะกูมันนิ่ง !

แต่เขาไปยุ่งในทางอื่นเข้ามา เขาไปยุ่งกับทางอื่นเข้ามา เขาเอาอะไรมาล่อกูก็ไม่เอา เขาล่อทั้งนั้นอ่ะ ทั้งล่อ ทั้งฉ้อ ทั้งฉล เพราะคนเราเขาวัดภูมิรู้คนอื่นด้วยด้วยความรู้ของเขา ในเมื่อเขาอยากดังอยากใหญ่ เขาอยากได้ตำแหน่ง เขาอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ คิดดูสิการแย่งชิงยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาทำกัน เขาทำกันเพื่อตัวของเขา

แต่เขาไม่มีความสามารถ เขาวิ่งเต้นมาหาเรา แล้วเวลาเขาพูดกัน นี่เขาพูดกันอยู่ เราได้ยินอยู่ เขาบอกว่า “นายหงบล่ะ ไอ้หงบมันไม่เอาอะไรหรอก อะไรก็ไม่เอา” เวลาเขาประชุมกัน เขาพูดกันอยู่ เขาพูดถึงวัดเรา แล้วเขาก็ประชุมกันเองว่ามันไม่เอาอะไรหรอก คือเวลาเขาทำอะไรไปแล้ว ในสังคมๆ จริงไหม เราไปแย่งชิงสมบัติของคนอื่นเขามา แล้วเจ้าของสมบัติเขาอยู่นั่น แล้วถ้าคนอื่นเขามองมา ในสังคมนั้นเขาอายไหม

เวลาเขาอายขึ้นมา เขาถึงถามเลยว่า “แล้วเจ้าของสมบัติเขานั่งอยู่นั่น แล้วสงบมันว่าอย่างไร” เขาประชุมกันเอง

เขาบอกว่า “สงบมันไม่เอาอะไร มันไม่เอาหรอก พระครูก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา” ทั้งๆ ที่มันแย่งกันอยู่นั่น ! ทั้งๆ ที่มันมาเอาความดีความชอบของเราไปหาผลประโยชน์อยู่นั่น ! ด้วยข้อเท็จจริงมันเป็นผลงานของใคร

พูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะแย่งชิงผลงานของใคร เราพวกเรามันเป็นวัวงานอ่ะ แล้วคำว่า “วัวงาน” เห็นไหม นกมันต้องมีรวง ที่อาศัย เราก็พยายามสร้างรวงสร้างรังก็เพื่อพวกเรา เพื่อสมณทายาท เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้คนเป็นที่อยู่ที่อาศัย ใครจะเห็นดี เห็นงาม เขาจะติฉินนินทรา วัดร้างทั่วประเทศไทย สร้างทำไมให้มันเป็นภาระสังคมอีก เอาเงินของสังคมที่เขาสละทานไปเพื่อประโยชน์กับสังคมไม่ดีเหรอ นั่นเขามองกันแต่วัตถุไง

แต่ของเราเห็นไหม ดูสิ นักกีฬาก็ต้องมีที่อาศัย นักกีฬาต้องมีสนามซ้อมของมัน เวลาข้าศึก ดูสิ ทหารเขารบยังต้องมีสนามซ้อมของเขา

นี่ก็เหมือนกัน วัดวาอารามเป็นที่อยู่ของอารามิก ของนักบวชของเรา เราก็ทำไว้แก่นักบวชของเราที่มันสนใจ มันจงใจ ความสนใจ ความจงใจขึ้นมาเห็นไหม

สถานที่ของเราก็คือสถานที่ สถานที่เป็นสถานที่นะ ถ้าคนไม่ปฏิบัติขึ้นมา สถานที่จะสร้างคนขึ้นมาได้อย่างไร สถานที่เป็นสถานที่แต่คนเข้าไปสถานที่นั้น คนอาศัยสถานที่นั่นอยู่นั้น คนประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนอาศัยสัปปายะให้หัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา

แต่เพราะว่านี้สร้างวัดสร้างวาขึ้นมา ต้องการศาสนทายาท ต้องการพวกอารามิก อารามิกมาก็พวกอึ่งอ่างมาเลย โน่นก็ไม่พร้อม นี่ก็ไม่มี โน้นก็ไม่ได้ นั่นมันเรื่องของเขา เราสร้างกันมาเราสร้างในขอบเขตบนธรรมวินัยของเรา เรารักษาของเรา ใครพอใจหรือไม่พอใจมันเรื่องของเขา

เรานิ่งอยู่ ใครจะมาหรือไม่มาช่างหัวมัน ไม่ต้องไปอยากดัง อยากใหญ่ ไม่ต้องการให้ใครมาพัก เที่ยวโทรศัพท์เรียกไปทั่วโลกเลยว่า “วัดกูมีโว้ย มาพักที่กูโว้ย ”

..แล้วไปเรียกมาทำไม เรียกมาจะเอาอะไรไปต้อนรับเขาล่ะ มึงไม่มีแอร์ให้กูๆ จะอยู่ทำไมล่ะ ใครจะไปไหนช่างหัวมันเถอะ ที่ไหนดี สาธุ.. เชิญตามสบาย เราจะอยู่กับเรา อยู่กับโคนต้นไม้ของเรา เราอยู่ของเราด้วยความพอใจของเรา

ถ้าจิตใจมันนิ่งเห็นไหม เราจะไม่ต้องทุกข์ร้อนขนาดนี้ แต่เพราะจิตใจเราไม่นิ่ง สร้างวัดแล้วเราต้องการคนอยู่ ไม่มีหมามาอยู่ด้วยสักคนหนึ่ง แต่กระทั่งสร้างวัดแล้ว กูไม่เอาใครเลย กูจะอยู่ของกูคนเดียว หมามันจะวิ่งมาอยู่ด้วย หมามันวิ่งมาเลย เพราะอะไร เพราะเราอยู่ได้ เราทำของเราได้ เราไม่ต้องไปสนใจกับใคร ไม่ต้องไปสนใจกับใคร

กฎหมายเขาไว้บังคับคนทำผิด เราทำอะไรผิด เราทำตามธรรมและวินัยมีสิ่งใดที่ผิด ถ้ากฎหมายเขาไว้บังคับคนผิดใช่ไหม แล้วเวลาเขาเอากฎหมายมายื่น เราไปเต้นอยู่ทำไม ถ้าเราเต้นตามกฎหมายเราผิดหรือ เรามีอะไรผิด เราไปฉ้อโกงใคร เราไปทำใคร ของสิ่งนั้น ที่ดินต่างๆ นั้นเขาซื้อขายกันมา เปลี่ยนมือกันมา แล้วเปลี่ยนมือมาแล้วให้พระเขาไปอยู่ มันผิดตรงไหน แล้วทำคุณความดีมันผิดอย่างไร

คนที่เขาไปซื้อขายมา ขึ้นฟ้องศาลสิ ผิดโดยเจตนา ผิดต่างๆ มันมีเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับอะไรเลย ของมันสะอาดบริสุทธิ์ เราเข้าไปด้วยความสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม

สิ่งต่างๆ สมัยก่อนมันไม่มีเอกสารสิทธิ์ พระไปอยู่ที่ไหนก็ได้ พอพระไปอยู่ที่ไหนก็ได้ พระไปอยู่ที่ไหน เพราะอะไร เพราะดูสิ เวลาพระขึ้นมาเห็นไหม กษัตริย์เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม แล้วจะพวกมั่งมีศรีสุข กษัตริย์ขนาดไหน เขาเคารพบูชาพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนามันเป็นการฟักตัว เป็นการสร้างบุคลากร เป็นการสร้างศาสนทายาทขึ้นมา

“ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ใครเข้าถึงธรรม เป็นที่พึ่งที่อาศัยของสัตว์โลก แล้วสิ่งต่างๆ ผู้ปกครองเขาต้องการให้ชาติร่มเย็นเป็นสุข เขาก็ต้องการคุณธรรม ต้องการสังคมให้มีคุณธรรม มีศีลธรรม จริยธรรม ให้มีศาสนทายาท แล้วเราทำสิ่งที่นโยบายของรัฐ นโยบายต่างๆ เขาทำกันอยู่ก็เพื่อคุณงามความดี

แล้วเราทำขึ้นมาแล้วมันจะผิดกฎหมายไปตรงไหน กฎหมายจะไปบังคับคนดีได้อย่างไร กฎหมายก็คือกฎหมายสิ แต่ถ้าทำความดีแล้ว ถ้ามีความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่กฎหมายหรือต่างๆ หรือพระ

ในวงการพระทุกสังคม มีคนดีและคนชั่ว สิ่งต่างๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปกครอง ที่เห็นสมณะ เห็นผู้เข้ามาอยู่อาศัยในที่ต่างๆ ก็บอกว่าเข้ามาด้วยความถูกต้องหรือด้วยความฉ้อฉล ด้วยการเข้ามาด้วยเล่ห์ด้วยกลอย่างใด เขาก็ต้องพิสูจน์เป็นธรรมดา

คนเข้ามา คนไม่เคยเห็นหน้ากัน เขาจะเชื่อใครว่าใครเป็นคนดีหรือคนชั่วล่ะ คนดีคนชั่วเขาต้องพิสูจน์กันใช่ไหม ใครดีหรือใครชั่ว ถ้าใครดี ใครชั่ว การกระทำของเรามันฟ้องเองว่าดีหรือชั่ว

แล้วถ้าเรานิ่งอยู่ เราทำของเรา เขาดูเราอยู่แล้วเราไปดิ้นรนสิ่งใด มันไม่มีอะไรที่ทำให้เราต้องไปดิ้นรนอะไรเลย อยู่เฉยๆ นี่แหละ แหม ! สุดยอดเลย ไปดิ้นรนกับมันๆ จะได้อะไรมาเป็นประโยชน์กับเรา มันไม่มีอะไรเลย ยิ่งดิ้นเท่าไร หมามันยิ่งห่างออกไป ยิ่งขวนขวายเท่าไร หมามันยิ่งไม่หันมามองเลย ถ้ามันอยู่เฉยๆ หมามันวิ่งเข้ามาเอง

มันไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรเลย ไม่ต้องทำสิ่งใดเลยเห็นไหม มันแพ้ภัยตัวเอง มันแพ้ภัยอวิชชา แพ้ภัยความฉ้อฉลของกิเลส กิเลสมันฉ้อฉลกับตัวเองยังไม่รู้ตัวนะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไง พอรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คือไม่รู้นั่นนะ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มันก็ฉ้อฉลของมันใช่ไหม

ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลว ในวงการพระ หลวงตาท่านพูดประจำ “ถ้าคนเลวนะท่านยังพอจะแก้ไข ถ้าพระเลว บอกแหม ! มันรับไม่ได้” หลวงตาบอกว่า “ท่านไม่อยากมองพระเลวเลย ไม่อยากหันไปมองเลยพระเลวๆ เนี่ยะ ไม่อยากหันไปมองเลย”

แต่ ! แต่พระเลวๆ พยายามจะไปเกาะท่านนะ เพราะพระเลวๆ มันขายไม่ได้ พระเลวไปที่ไหนก็ไม่มีใครเอา ของไม่ดี ไม่มีใครอยากได้ แล้วของไม่ดี มันจะบอกมันเป็นของดีนี้มันก็พูดตัวเองของมันไม่ได้ มันต้องอาศัยของดี เพื่อไปอยู่กับของดี เพื่อให้ได้กลิ่นคุณงามความดีครอบตัวมัน

ท่านถึงบอกว่า “พระเลวๆ ท่านไม่อยากมองหน้าเลย” แต่พระเลวๆ ก็พยายามจะไปพัวพันกับท่าน แต่นี้สังคมสงฆ์เห็นไหม ศาสนทายาท คนดีแบบว่าการกระทำเป็นจริตนิสัย เป็นการกระทำของคน คนมันมีอำนาจวาสนาแค่ไหน นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง ครูบาอาจารย์ของเราท่านมองนะ ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์หรือสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์

ถ้าไม่เป็นประโยชน์นะ.. ต้นไม้มีแก่น มีเปลือก มีกระพี้ แก่นมันมีสักเท่าไร กระพี้มันมีมากขึ้น ยิ่งเปลือกนี้หุ้มทั้งต้นเลย แต่แก่นมันมีเท่าไร

ในพระพุทธศาสนา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในสมัยนี้มิลินทปัญหาเห็นไหม พระอรหันต์มหาศาลเลย พระเจ้ามิลินท์ไปถามปัญหาเห็นไหม ไม่มีใครตอบมิลินท์ได้เลย จนพระอรหันต์ต้องไปรอนาคเสน ตั้งแต่เกิดเอานาคเสนมาฝึก นาคเสนมาประพฤติปฏิบัติจนนาคเสนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นาคเสนสามารถปะทะกับมิลินท์ได้ ทั้งๆ ที่มีพระอรหันต์เยอะแยะเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อสิ่งที่พระมันจะเลวหรือมันจะดี มันโดยตัวของเขา ไอ้เราของเรานี้รักษาตัวของเรา ไม่ต้องไปวัดใครดี วัดใครเลว ถ้าวัดใครดี วัดใครเลว มันต้องวัดที่เรา ธรรมวินัยนี้ไว้จับตัวเรา

คำพูดนี้สำคัญมากนะ เวลาพูดออกไปพูดโดยไม่ได้ยั้งคิด คนอื่นเขาคิดนะ คนอื่นเขาเห็นนะ ช้างขี้.. หลวงปู่มั่นท่านพูดอย่างหนึ่ง หลวงตาท่านพูดอย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์ท่านพูดอย่างหนึ่ง ช้างขี้ เราไม่ใช่ช้าง เราไปขี้อย่างนั้นไม่ได้ เราจะพูดอย่างนั้นไม่ได้

คำพูดของครูอาจารย์ท่านพูดขึ้นมา ท่านมีศักยภาพของท่าน มีบารมีของท่านๆ พูดของท่านได้ คำพูดคำเดียวกันนี่แหละ ผู้ใหญ่พูดได้

หลวงตาท่านพูดบ่อย “เด็กรู้เด็กก็พูดได้ ผู้ใหญ่รู้ผู้ใหญ่ก็พูดได้ แต่เด็กพูดไม่มีน้ำหนัก” มันต้องรอวันเวลา รอวันเวลา..ความจริงท่านพูดความจริงเหมือนกันนะ แต่ถ้าพูดไม่เป็นความจริงล่ะ คำพูดมันเป็นคำพูดเดียวกัน แต่คนเราตีความหมายไม่เข้าใจ หรือไม่เข้าใจคำพูดนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น

แต่ถ้าความพูดนั้นมีความหมาย รู้เหมือนกัน เด็กก็รู้ ผู้ใหญ่ก็รู้ คือเขาถึงธรรมเหมือนกัน ถ้าเข้าถึงธรรมเหมือนกัน แต่บารมีไม่ถึงกัน บารมีคนเขาไม่ยอมรับเห็นไหม ครูบาอาจารย์บอก ดูสิ สังคมเขาไม่รับรู้อะไรเลย นี้อยู่ในป่าในเขาของท่านตลอดไป

พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระองค์แรกของโลก เป็นพระอรหันต์เลย เป็นพี่ใหญ่ เป็นพระองค์แรก เป็นพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา สอนพระปุณณมันตานีบุตร หลานองค์เดียว แล้วตัวเองเข้าไปอยู่ในป่า ไม่ได้สอนใครเลย ไม่ได้สอนใครเลย นั่นนะมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน

ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปกว้านโลกมา ปล่อยให้เขาไป ปล่อยให้โลกอยู่ตามความเป็นจริง แล้วเราต้องอยู่ตามเป็นจริงของเรา อย่าไปกว้านเข้ามา ไม่ต้องไปแบกโลก ไม่ต้องโทรศัพท์ไปร้อยแปดพันเก้า แล้วพอโทรศัพท์มาหัวใจก็ขุ่นมัว พอขุ่นมัวมันแสดงออก พระเห็นพระรู้นะ

พระเขาเห็นพระเขารู้ว่า ถ้าวันไหนโทรศัพท์มา กระเทือนหัวใจมา เดี๋ยวออกฤทธิ์ มันมีอยู่ข้างในไง ถ้ามีอยู่ข้างในมันแสดงออกมาเห็นไหม รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นึกว่าคนอื่นเขาไม่เข้าใจ คนอื่นเขามองแล้วเขารู้

นี่ไง ถ้าเรานิ่งอยู่หมามันจะมาอาศัย แต่ถ้าเราต้องการให้หมามันยอมรับ หมามันจะไม่ยอมรับ หมามันก็หากินของมันได้ สัตว์.. ไก่ป่า ไก่บ้าน ไก่ป่ากับไก่บ้านต่างกัน..

ไก่บ้านต้องมีเจ้านาย ไก่บ้านเวลาหิวเห็นคนมันจะวิ่งเข้าไปหาคน คนจะโปรยข้าวให้มันกิน

ไก่ป่ามันจะคุ้ยเขี่ยหากินเอง มันจะไม่พึ่งใครเลย ไก่ป่ามันวิ่งเข้าป่า ไก่ป่ามันจะไม่กินข้าวจากมือคน ไก่ป่ามันจะหากินของมัน

ไก่บ้านมันหาคุ้ยกิน ถ้ามันไม่พอกินมันจะเข้าไปคลุกคลีกับคน

นี่ก็เหมือนกัน สัตว์นี่มันจะอาศัย มันจะอาศัยสิ่งที่มันเข้าใจของมัน นี่เหมือนกัน เราจะหวังอย่างนั้นไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ต้องไปยุ่งกับใครทั้งสิ้น ดูแลเรา แล้วสำคัญตรงคำพูดนี้ เวลาพูดไปแล้วนะ ไม่ต้องสอนเลยความจริง

ความจริงนี่นะ ศีล ๕ มุสาวาทา ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดนี้มันจะรู้อยู่แล้ว อันนี้คำพูดเราพูดออกไปมันเป็นเจ้านายนะ

เวลาไม่พูดเราเป็นเจ้านายคำพูด.. เวลาพูดไปแล้วคำพูดมันจะเป็นเจ้านายเรา

แล้วเวลาไปพูดอะไรออกไป แล้วคนเขาได้ยิน คนเขาฟัง เขาจับตรงนั้น แล้วเขาดูพฤติกรรม กลับมาย้อนดูพฤติกรรม มันทำไม่เหมือนพูดเลยอ่ะ เวลามันพูดอย่างนั้น ทำไมมันทำอย่างนี้ อย่างนี้คนเขารับกันไม่ได้หรอก ฉะนั้นอย่าพูด ถ้าพูดไปแล้วทำไม่ได้ อย่าพูด แต่ถ้าพูดแล้วต้องทำได้

มันมีโยมมาหาเรา เขาบอกเขาฟังซีดีเราแล้วเขาชอบใจมากเลย เพราะเรารับผิดชอบคำพูดเราทุกคำ คำพูดที่กูพูดออกไป กูยืนยันคำพูดกูทั้งนั่นล่ะ จะสอบสวน จะที่ไหนได้ทั้งนั้นเลย คำพูดที่กูพูดออกไปนะ พูดได้ ถ้าเราพูดแล้วเราต้องทำได้อย่างนั้น

ในความรู้สึกของเรา เราทำได้ดีกว่านั้นอีก แต่กูพูดมานี้ยังพูดไม่ได้เต็มความคิดที่กูจะทำได้อีกนะ กูไม่เคยพูด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เท่ากับที่กูรู้เลย กูพูดมาอย่างมากก็ ๕๐ , ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์อย่างสูง เพราะถ้าเอาคำพูดมายัน กูทำได้มากกว่านั้นอีก ! กูทำได้กว่าที่เขาพูดมากกว่านี้อีก !

นี่พูดออกไปแล้วมันต้องทำได้อย่างนั้น ถ้ามันทำไม่ได้อย่างนั้น พูดออกไปคำพูดมันกลับมาย้อนเรา แล้วทำลายเรา พอยิ่งทำลายเรานะ ความเชื่อถือไม่มีเลยนะ ความเชื่อถือจากคนที่ได้ยิน พอเขาได้ยิน สะสมไป สะสมไป มันไปหมักหมมในใจเขา แล้วอย่างนี้พอมีอะไรไป มันรับกันไม่ได้ เพราะคำพูดมันเหมือนกับคนไม่มีหลักมีเกณฑ์

แต่ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ถ้าพูดสิ่งใดต้องทำตามนั้น พอพูดออกไปแล้วต้องทำตามนั้น เวลาเราพูดเราก็พูดเห็นไหม เราเป็นหัวหน้า เวลาเราพูดไปต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วใครอย่ามาโกหกนะ เพราะมันเป็นจริตนิสัย เว้นไว้แต่ผิดพลาดแล้ว สิ่งใดที่ผิดแล้วบอกว่า มันเผลอไป มันทำผิดไปโดย..นี่พูดกันได้

ความผิดพลาดมีกันทุกคน แต่เวลาพูดออกไป มันทำไม่ได้ แล้วถ้าบ่อยครั้งเข้าไป จนไม่มีเครดิต ไม่มีความน่าเชื่อถือ พอไม่มีเครดิต ไม่มีความน่าเชื่อถือ แล้วไปห่วงอาทรเขาอีก จะไปแบกรับเขาอีก ต้องโทรศัพท์ไปอ้อนวอนเขาอีก พอพูดไปแล้วจะแก้ เพราะยิ่งแก้มันยิ่งผิด ยิ่งผิดมันยิ่งมัดตัวเอง ยิ่งมัดตัวเองมันยิ่งห่างไกล ไม่มีนะ..

ฉะนั้นบอกไม่ต้องไปยุ่งกับใครเลย มาดูตัวเองให้ได้ เอาใจของตัวเองให้ได้ เอาหลักใจของเรา เอาที่นี่ให้อยู่ เอาที่นี่ให้อยู่แล้ว พอที่นี่อยู่แล้วรู้อย่างไร พูดอย่างนั้น ทำได้อย่างไร พูดได้แค่นั้น สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์นะ เพราะพูดจริงทำจริง แล้วพอคนอื่นเขาพูดจริงทำจริงได้ คนมันจะพอใจ เพราะคนมันพอใจนะ พูดจริงทำจริง

เอ่อ ! หลวงตาท่านพูดเองเห็นไหม ออกมาตีตาด แล้วดูเวลาผิด “พระมันไปไหนกันหมดวะ พระไปไหนกันหมด มันจะไม่ตายกันหมดเหรอ”

พอบอก “เวลามันผิดครับ”

“อ๋อ ? อย่างนั้นพระห้ามมานะ เราจะกลับไปแก้บ้า”

เห็นไหม หัวหน้าก็ผิดได้ หลวงตาท่านมาสารภาพเองว่า “ท่านก็ผิด” ผิดคือแบบมันมองเวลาผิด มันอะไรผิด ความผิดพลาดทุกคนมันมีได้ ผู้ใหญ่ผิดก็ต้องยอมรับว่าผิด เด็กมันถูกหรือมันผิดมันก็ว่าตามนั้น เด็กผิดว่าเด็กได้หมดเลย เวลาผู้ใหญ่กูไม่มีผิดเลย ทั้งๆ ที่ผิดเต็มตัว ไม่มีผิดไม่ได้ ผิดก็ต้องคือผิด

อันนี้ไม่ผิดก็คือผิด ลูกผู้ชาย สุภาพบุรุษ ในเมื่อทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน มันอยู่กันร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่ถ้ากูถูกคนเดียวคนอื่นผิดหมดเลยอย่างนี้ แล้วความจริงก็คือกูผิดนั่นน่ะ แต่คนอื่นถูก แต่มีความเห็นผิดไง ว่ากูนี้ถูก คนอื่นนี้ผิดเลย เพราะเขาเห็นถูกอยู่ เขามิจฉาทิฐิ แต่ เขาเป็นสัมมาทิฐิเขาเห็นว่าถูก ไอ้เราเห็นผิดก็เลยบอกว่าหมู่คณะเห็นผิด ไอ้กูกับเห็นถูก ไม่ได้..

ของอย่างนี้นะในตำราก็มี สิ่งต่างๆ ก็มี ต่างๆ เราต้องค่อยๆ เตือนสติ แล้วกลับมาพิจารณาตัวเอง ว่าตัวเองทำอย่างนี้ถูกต้องไหม แล้วจะเป็นประโยชน์ไหม ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมา หรือมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเห็นไหม ค่อยๆ แก้ไขไป สิ่งนี้แก้ไขได้เห็นไหม

ใครชี้ความถูกหรือผิดของหมู่คณะ หรือพวกเราได้เห็นไหม นี่ชี้ขุมทรัพย์ ถ้ามีขุมทรัพย์นั้น ถ้าขุมทรัพย์เราค่อยแก้ไข ขุมทรัพย์ อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน ความต่างๆ เราเกิดกันมา ถ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป เราโชกเลือดกันมา จิตเราโชกเลือดกันมา เกิดตายเกิดตายอย่างนี้มาตลอด

ในปัจจุบันมาเกิดชีวิตนี้ก็ว่ายาวไกลนะ วันคืนมันหวน ลำบากทุกข์ยากไปหมด แต่เวลามันเกิดตาย เกิดตาย ไม่มีต้นมีปลายมันขนาดไหน แล้วในปัจจุบันมาเกิดขนาดนี้แล้ว ตอนนี้หูตาสว่าง เหมือนนักมวยขึ้นเวที เพราะฉะนั้นขึ้นเวทีมีโอกาสชกตามแต่กำหนดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน เกิดมาชาติหนึ่งก็เวลาของเรา แล้วปัจจุบันนี้บวชมา แล้วแต่ใครบวชมา ใครจะมีโอกาสมาบวชได้มากน้อยแค่ไหน นี่คือเวลาที่เราจะต่อสู้กับกิเลสนะ เวลานี้เวลาเราตื่นตัว คนที่ขึ้นไปบนเวทีนะ สวมนวมพร้อมเลย แล้วมีคู่ต่อสู้

นี่ก็เหมือนกัน เราเชื่อในพุทธศาสนาว่าใจของเรามีกิเลสกับธรรม ธรรมคือสัจธรรมที่เราพยายามจะฝึกฝนขึ้นมา กิเลสมันมีอยู่แล้ว เพราะกิเลสมันพาเราเกิดมา กิเลสมันคืออวิชชา พาจิตนี้เกิดตาย เกิดตายมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา

ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะอยู่ในตู้พระไตรปิฎก เรายังไม่มีอะไรเลย ศึกษามาขนาดไหนเรายังไม่มีอะไรเลยนะ ไปเข้าค่ายมวย ค่ายมวยบอกเตะซ้าย ยกกาดสูงๆ กลับมาตีเข่า ยังทำอะไรไม่เป็นนะ แล้วเอาขึ้นเวทีไปนี่ เงอะๆ งะๆ เงอะๆ งะๆ แล้วทำอย่างไรจะไปสู่กับกิเลส มันยังทำอะไรไม่ได้เลย

นี้เวลาของเรามีขนาดไหน เราจะสู้ เราจะสู้ว่าสัจธรรม กิเลสมันมีอยู่แล้วน่ะ คู่ต่อสู้ขึ้นไป เดินเข้าไปมันทิ่มหงายทุกที จิตของเรามันจะโดนกิเลสกระทืบอยู่ตลอดเวลา มันอัดเราอยู่แล้ว สัจธรรมอยู่ไหน ? เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจะต่อสู้กับมัน ตั้งสติไว้แล้วแก้ไข ทำให้มันยอบๆ ตัวลง แล้วตั้งสติดูแล กลั่นกรองขึ้นมาเห็นไหม

กลิ่นของศีล มันหอมทวนลม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม ถ้าคนดีเห็นไหม คนโน้นเป็นคนดี คนนี้เป็นคนดี มันพูดต่อปากต่อปากไป แต่ถ้าเราพูดแล้วผิดพลาด พูดแล้วเหยียบย่ำ พูดแล้วถากถาง พูดอย่างทำอย่าง กลิ่นของอย่างนี้มันก็ขจรไป แล้วใครจะไปแก้ไขมันล่ะ

หมู่คณะพยายามจะแก้ไขเพื่อน มิตรเทียม ! พอมิตรเซกระทืบซ้ำ มิตรเพียงแต่ยังไม่ทันพูดผิดเลย เอาข่าวนั้นไปโพนทะนา มิตรเทียมมิตรนะ มิตรเทียมมิตร

มิตรแท้ ! มิตรแท้ของเราเห็นไหม คนนี้พูดผิด เราเตือนเห็นไหม คนอื่นเขามาต่อว่ามิตรของเรา เราจะแก้ไขปกป้องแทนให้ได้ นี่มิตรแท้

มิตรแท้เกิดอย่างไร เราจะรักษามิตรภาพของหมู่คณะของเราอย่างไร เรารักษามิตรภาพต้องมีความเสมอภาคเห็นไหม

ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยนะ ท่านเป็นบ๋อยอยู่ที่หนองผือ หลวงตาท่านบอกว่าท่านเป็นบ๋อยประจำวัดเลย เพราะเป็นหัวหน้า เป็นคนพาพวกเขาทำ เป็นคนทุกอย่างไง

เราจะเปิดมิตรแท้ มิตรแท้เห็นไหม เราต้องดูแล เราต้องเอาน้ำใจเขา ใจเขา ใจเรา ใจเขาคิดอย่างไร ทุกคนปรารถนาอย่างไร ทุกคนอยากได้อะไร กินน้ำ เรากินน้ำ กินน้ำพร้อมกัน เอาแก้วน้ำมาตั้งด้วยกัน ต่างคนต่างได้น้ำดื่มคนละแก้ว เออ ? กินด้วยกัน

กินน้ำ กูนั่งกินน้ำของกูคนเดียว มึงนั่งดูกูกินนะ มึงจะมีมิตรไหม มิตรจะเกิดขึ้นมาได้ไหม มิตรแท้เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทุกคนต้องกิน ทุกคนต้องการคุณงามความดีทั้งนั้น ทุกคนต้องการความเสมอภาคทั้งนั้น มิตรแท้ ! สิ่งที่เป็นมิตรแท้ มิตรเทียมหาที่ไหนก็หาได้

แต่มิตรแท้มันหาได้ยาก มิตรแท้เกิดจากคุณสมบัติของเราก่อนนะ “ถ้าเราเองเรายังทำตัวเราเองไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วเราจะหามิตรแท้จากที่ไหน” มิตรแท้จะเกิดขึ้นมาจากน้ำใจของเรา การเสียสละของเรา การเห็นใจเขา เห็นใจเราเห็นไหม นี้สัปปายะ

หมู่คณะเป็นสัปปายะนะ เราว่าเราก็เที่ยวมาเยอะ ไม่ใช่วัดรอยทุกคนนะ ว่าครูบาอาจารย์พูดทุกๆ องค์ เราก็เที่ยวมาและก็ผ่านสังคมมา เราก็ผ่านสังคมมา เราก็ว่าเราก็เป็นธรรมพอสมควร นี่มิตรแท้นี้เราเจือจานกัน พูดแต่ความจริงนะ อย่าพูดพล่อยๆ อย่าพูดสักแต่ว่าพูด แล้วคิดว่าพูดแล้วคนอื่นจะไม่คิด

โคนันทิวิสาลเจ้าของท้าพนันกันนะ ทั้งๆ ที่กำลังมันมหาศาล มันลากเกวียนได้เป็นพันๆ เล่ม เวลาด้วยความเห่อเหิม “ไป ! ไอ้โค.. ไอ้โคทึก.. มึงจงลากเกวียนกูไป” มันนอนมันไม่ไปเลย เสียพนันจนหมดเนื้อหมดตัวเห็นไหม

สุดท้ายโคนันทิวิสาลแก้ตัวใหม่ “อ้าว?? พ่อโค เดินตามนะ” มันได้ ! “คำพูด.. คำพูดสำคัญนะ”

คำพูดสำคัญ มันถากถางกันด้วยปากคน คนเราถากถางกันด้วยปาก แล้วเวลาทำอะไรไปเราไม่ได้คิดไง เพราะคิดว่าเราพูดได้ ทุกคนจะยอมฟังเรา เขาฟัง.. เขาฟังต่อหน้านี่แหละ รับหลังเขาฟังไหม

อย่าแต่ว่าใครฟังเลย กิเลสของเรามันยังไม่ฟังเราเลย กิเลสเรามันยังไม่ฟังเราเลย เราคิดสิ่งใด มันได้สมความปรารถนาของใจเราไหม ? กิเลสเราเองมันไม่ยอมรับเลย แล้วใครมันจะฟัง คำไม่ดีไม่มีใครฟังหรอก

แต่ถ้าไม่มีใครฟัง เราสอนขนาดนี้นะ แต่เวลาทำไมเราพูด คำพูดของเราทำไมพูดอย่างที่เราพูดอยู่ทุกวันล่ะ ไอ้เราพูดอยู่ทุกวันมันพูดเป็นสันดาน แต่คนอยู่กับเรามันจะเห็นเลยว่าคำพูดของเรากับพฤติกรรมของเรามันไปกันได้ไหม

บอกดูหนังดูละครต้องย้อนดูตัว จะสอนคนอื่นต้องสอนตัวเองก่อน คำพูดของเรา นั่นก็บวชมา มึง กู เราธุดงค์ไป คำว่า “มึง.. กู..” มันกลับมาทำลายเรา เยอะมาก บางวัดเขาไล่เราออกจากวัดไม่ให้เราอยู่เลยแหละ คำว่า “กู” เขารับไม่ได้

เราเคยโดนไล่ออกจากวัดแล้วไอ้เรื่องธุดงค์ไป “มึง.. กู” ทำไมไม่พูด “ท่าน.. ผม” ทำไมไม่พูด “ครับ.. ผม” ทำไม “มึง.. กู” เขารับไม่ได้ เขารับไม่ได้

แต่ด้วยนิสัยของเรา “กูก็คือผม.. มึงก็คือท่าน” เพราะผม ท่านกับมึง กูก็คือสมมุติอันเดียวกัน.. มึง กู ก็คือ ครับผมนี่แหละโว้ย แต่ “ครับผมของกูอ่ะทำไม ?” แล้วกูก็ทำให้มึงเห็นอ่ะ ก็มึงกูนี้แหละก็คือครับผมของกู เอวัง